ประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 24 มิถุนายน ปี พ.ศ. 2482 โดยก่อนหน้านั้น เรียกว่า สยาม หรือ เสียม การก่อตั้งชื่อว่าไทย นั้น ได้มีการโหวตกันในสภาผู้แทนราษฎร ว่าจะเอาคำว่า ไท หรือ ไทย ดี ปรากฎว่า ไทย ชนะ ไท ไปด้วยคะแนนเสียง 64 ต่อ 57 เพราะเหตุผลว่า คำว่า ไท ที่เติม ย ยักษ์ เปรียบเหมือนหญิงงาม ส่วน ไท ที่ไม่มี ย ยักษ์ นั้น เปรียบเหมือนหญิงไม่งาม โดย ย ยักษ์ นั้น เปรียบเสมือนการที่มีอารมณ์อยากสนิทชิดเชื้อมีเพศสัมพันธ์ด้วย (ทั้งสามเรื่องนี้ 1. การเปลี่ยนชื่อจากสยามเป็นไทย ทำไมต้องมี ย. 2. เสียมเรียบ และไทย 3.คนไทยอพยพจากเทือกเขาอัลไต ท่านสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ด้วยตนเอง )
นิสัยคนไทยตามที่ลาลูแบร์ ได้บันทึกไว้ว่า “สติปัญญาอันฉับไว และเฉียบแหลมของชาวสยาม น่าจะเหมาะสำหรับเรียนวิชาคำนวณยิ่งกว่าศาสตร์ อื่นๆ ถ้าเขาไม่ชิงเบื่อเสียเร็วนัก(หน้า 198) คนสยามมีนิสัยอ่อนโยนมีสัมมาคารวะ แต่ก็มีความโลภ เกียจคร้าน ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็น (หน้า 23) แต่ชาวสยามก็เป็น คนที่เชื่อถือโชคลางมาก เช่น หากเขาได้ยินเสียงเสือ ช้าง แรด หมีกระทิง ละมั่ง กวาง ทราย ค่าง บ่าง ชะนีงูเลื้อยผ่านหน้าหรือมีฟ้าผ่าใกล้ๆ ถือว่าลางไม่ดีเขาจะ ไม่ออกไปไหนวันนั้น (หน้า 204)
แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ประชากรสยาม ลาลูแบร์ระบุว่า ประชากรสยามจากการสำรวจล่าสุด ของรัฐบาลมี1,900,000 คน ลา ลูแบร์บอกว่า รัฐบาลสยามมีการสำรวจกันทุกปี (แต ่ในพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาไม ่ปรากฎตัวเลขประชากรเลย) จำนวนที่ว่านี้ ลาลูแบร์ให้ความเห็นว่า น่าจะกล่าวเกินจริง เพราะรัฐบาลขูดรีดแรงงานจากไพร่หลวง ถึงปีละ 6 เดือน โดยไม่มีอาหารเลี้ยง กับการเก็บภาษีที่รุนแรง ทำให้ราษฎร ส่วนหนึ่งหลบซ่อนไปอยู่ในป่าดง เพื่อจะได้ไม่ถูกขูดรีดดังกล่าว (หน้า 40) ซึ่งเรื่องนี้ ผู้วิจารณ์เชื่อว่า น่าจะเป็นจริง เพราะต่อมาในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มีคนไทยไม่น้อย หลบซ่อนอยู่ในป่าดง เพื่อจะได้ไม่ถูกรัฐบาลเกณฑ์แรงงานและขูดรีดภาษี
แหล่งรายได้ของเจ้าเมือง ในบรรดาขุนนางสยามเจ้าเมืองมีฐานะดีกว่า เพื่อน แม้จะไม่มีเงินเดือนแต่มีรายได้หลายทางตั้งแต่ได้รับอากรค่านาถึง50% ของ อากรที่เก็บได้ในแต่ละเมือง เวลาจำเลยถูกริบทรัพย์ค่าปรับไหมจำเลย เจ้าเมืองก็ได้ ส่วนแบ่ง ได้ใช้แรงงานไพร่สมฟรีได้หักเปอร์เซนต์ภาษีเรือพาณิชย์สำหรับเมือง ชายทะเล ภาษีจังกอบสำหรับพ่อค้าที่ผ่านด่านภาษีเจ้าเมืองบางคนทำการค้าด้วย เวลาชาวบ้านวิดหนองบึง ปลาตัวแรกที่จับได้ต้องนำมาให้เจ้าเมือง(หน้า 252-254)
แหล่งรายได้ของรัฐ แหล่งรายได้ของพระเจ้าแผ่นดิน มีหลากหลาย ตั้งแต่ แรงงานไพร่ฟรีปีละ 6 เดือน อากรค่านา ภาษีขาเข้าขาออก ภาษีเรือ อากร สุรา อากรสวน (เก็บจากผู้ปลูกทุเรียน พลูหมาก มะพร้าว ส้ม มะม่วง มังคุด พริก) และการค้าผูกขาดสินค้าบางอย่าง (ผ้าฝ้าย,ดีบุก,งาช้าง,ดินประสิว,ตะกั่ว,ไม้ฝาง กำมะถัน ดินปืน เครื่องศัตราวุธ และหนังสัตว์ปีหนึ่งเก็บภาษีได้1.2 ล้านลีวร์ (2.5ลีวร์= 1 ชั่ง=80 บาท) (หน้า 284-7) 1ลีวร์= 32 บาท เงิน 1.2ล้านลีวร์เท่ากับ เงินไทยขณะนั้น 38.4 ล้านบาท มูลค่าเงินบาทสมัยสมเด็จพระนารายณ์คิดจาก ค่าแรงรับจ้างสมัยนั้น เดือนละ 2 บาท หรือวันละ 6.7 สตางค์คนที่รับจ้าง 15 วัน จะพอกินไปได้1 เดือน ไพร่ที่ไม่ไปเข้าเดือนเพราะติดงานจำเป็นต้องจ่ายเงินแทน เดือนละ 1 บาท (หน้า 285) (ในขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำในปัจจุบัน 215 บาท/วัน จึงต่าง จากสมัยสมเด็จพระนารายณ์3209 เท ่า ดังนั้นภาษีที่รัฐบาลสมัยนั้นเก็บได้ 38.4 ล้านบาท มีมูลค่าเท่ากับ 123,226 ล้านบาท ในปัจจุบัน ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับประชากรเพียง 1.9ล้านคนในขณะนั้น หากเปรียบเทียบรายได้ ของรัฐต่อประชากร ปัจจุบัน 46,153 บาท/คน/ปีแต่สมัยนั้นรายได้ของรัฐกลับสูงกว่า มาก คือ สูงถึง 64,855 บาท/คน/ปีเมื่อเทียบค่าของเงินสมัยนั้นเป็นค่าเงินปัจจุบัน)
การตัดสินคนผิด ที่ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ความผิด พระเจ้าแผ่นดินจึงให้ เสือโคร่งเป็นผู้ตัดสิน โดยเอาทั้งโจทย์และจำเลยไปใส่กรงเสือเสือกินคนไหนคนนั้น คือผู้ผิด ถ้ากินทั้งคู ่ก็แปลว ่าผิดทั้งคู ่ ถ้าไม ่กินทั้งคู ่จะต้องไปพิสูจน์ด้วยวิธีอื่น (หน้า 312,263)
เรื่องราวเหล่านี้ ไม่ปรากฎในแบบเรียนของนักเรียนไทย
ไม่กี่วันที่แล้ว ข้าพเจ้าได้ไปร้านหนังสือและได้พบแบบเรียนของประเทศสิงคโปร์ เลยซื้อมาเนื่องจากเป็นหนังสือลดราคา พบว่า แบบเรียนของเด็กในประเทศสิงคโปร์สอนเรื่องราว Timeline ของโลก ซึ่งแตกต่างจากแบบเรียนของนักเรียนไทย ที่สอนวิชาที่ใช้ประโยชน์ในชีวิตจริงไม่ได้เลย เช่น วิชากระบี่กระบอง ก้าว ยก จ้วง เป็นต้น แต่ในแต่ละปี มีสถิติเด้กจมน้ำตายมากมาย.
เด็กๆถูกสอนโดยผู้ใหญ่ระดับขุนนาง ว่า โตไปไม่โกง แต่ลูกหลานขุนนางนั้นโกง 100% โกงทุกคน ไม่มีขุนนางคนใคไม่โกงเลย อยู่ที่โกงมากหรือโกงน้อยเท่านั้น
ข้าพเจ้ามั่นใจและทดสอบมาตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุ 25 ปี จนตอนนี้อายุ 40 ปีแล้ว พบว่า ขุนนางทุกชั้น เชื่อถือมิได้ ยามเกิดภัยไม่ว่าภัยพิบัติใดก็ตาม ขุนนางจะโกหกประชาชนและเอาความดีเข้าตัวก่อนเสมอ ประชาชนต้องรับเคราะห์กรรมตามยถากรรมไปเอง โดยหามีขุนนางมาคอยบรรเทาทุกข์ไม่.
พวกขุนนางมีอำนาจมากเนื่องด้วยกอปรกรรมชั่วแข็งขัน แต่ตีหน้าเศร้า เล่าความเท็จ เสแสร้งกล่าวอ้างคำสัตย์ ให้ไพร่ฟ้าชื่นชม หลงลืมเรื่องราวความทุกข์ที่ผ่านมาเพื่อให้เข้าสู่ความทุกข์เข็ญครั้งใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่า.
ทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติขุนนางไม่เคยต้องถูกลงโทษเนื่องด้วยสรรหาคำพูดมาแก้ตัวไปได้ทุกครั้ง เช่น ฝนตกมากเกินกำลัง
ขุนนางจะตั้งขี้ข้ามาคอยรับใช้และกระทำการแทน เบียดบังงบแผ่นดินไปใช้สุรุ่ยสุร่ายเสียเองทั้งสิ้น มีเมียน้อยปรนเปรอ มีกิน และมากด้วยเกียรติ ขุนนางที่เป็นพ่อค้าฉ้อฉลจะแสวงหาอำนาจผ่านการยกมือไหว้แนบไปด้วยเบี้ยก้อนหนึ่งเพื่อแลกกับการกาบัตรลงคะแนน แถมด้วยกำลังที่มิอาจปฏิเสธได้ หากคะแนนไม่ถึง ทีมงานขี้ข้าก็จะมีหน้าที่ตามกระทีบและนำศพไปโบกปูน ตำรวจก็รับเงินขุนนางฉ้อฉล บิดเบือนสำนวนให้อ่อนลงเสีย หาว่า สูญหายไปโดยเรื่องราวต่างๆ เช่น นกเอี้ยงทำร้ายจนเสียชีวิต
ไม่มีไพร่ฟ้าผู้ใดกล้าลุกขึ้นสู้ เพราะต่างรักชีวิต
แต่ถึงเรามีชีวิตก็มีได้แค่สิ้นชีวิตเรา ลูกหลานเราคงไม่มี ไม่นานเผ่าพันธ์เราก็จะหมดสิ้นเหลือเพียงพวกปลิ้นปล้อนฉ้อฉล เป็นตัวตลกในเวทีโลก
ฤา เรา จะปล่อยให้ เสียม เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ตามที่เคยเป้นมา.
เราบูชาคนที่จบ มหาลัยห้องแถวไม่มีตัวตน แคลิฟอเนียร์ยูนิเวอร์ซิตี้ เรายำเกรงคนขายยาเสพติด เราต้องกราบไหว้คนทำเว็บพนัน เราต้องชื่นชมคนฮั้วประมูลทำถนนภาครัฐ ทำได้ 3 เดือนถนนพัง เราต้องลำบากลำบนเสียค่าซ่อมรถ เราต้องบูชาคนที่ขายไฟฟ้าลวงหน้าโดยต้องจ่ายค่าไฟแพงๆจากรายได้อันน้อยนิดที่ระบบขุนนางมอบให้ เราต้องจ่ายค่าประกันสังคมเสียม โดยให้ขุนนางประกันสังคมเสียม นำไปลงทุนซื้อของมูลค่าต่ำด้วยเงินจำนวนมากเกินราคาประเมิน โดยที่เขาแจกจ่ายเพียงปฏิทินตั้งโต๊ะ ทั้งๆที่เรามีสมาร์ทโฟน มีแอป คาเลนดาร์
เราจะอยู่แบบนี้ไป เพราะพวกเรานั้น คือ พวกเสียม หรือ ไทย ครับผม เราภูมิใจในความเป็นไทย ดังคำกล่าวก่อนเพลงชาติตอน 8 โมง ทุกวัน
เราจงภูมิใจว่า ไทย ชนะ ไท ด้วยคะแนนเสียง 64 ต่อ 57 เพราะ ไทย เติม ย. เปรียบเหมือนหญิงงาม น่าชักชวนไปร่วมเพศด้วย.
เราจะล่มสลายลงสักวันหนึ่ง. ขอให้เรามั่นใจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
Welcome.